“เพชร”จากผู้ประสานงานอาเซียนสู่นักเรียนทุนออสซี่
ขอนำท่านผู้อ่านมารู้จักกับดาวรุ่งไฟแรงแห่งวงการศึกษา“เพชร จารุไพบูลย์” ผู้ประสานงาน สำนัก
เลขาธิการอาเซียนประจำประเทศไทย
ที่เพิ่งได้รับทุน Endeavour ของ รัฐบาลออสเตรเลีย ประจำปีล่าสุด โดยเพชรได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเอดดูโซน ณ สถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ระหว่างงานเลี้ยงรับรองนักเรียนทุนประจำปี 2009 ที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
เพชร จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนโยธินบูรณะ(ภาคภาษาอังกฤษ)และจบรัฐศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นทำงานที่สำนักเลขาธิการอาเซียนจนกระทั่งได้ทุนไปเรียนปริญญาโทที่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย(ANU) ซึ่งจัดเป็นม.อันดับ 1 ของแดนจิงโจ้ และอยู่ประมาณ อันดับ 15-16 ของโลก
มูลเหตุที่มาสมัครขอทุนนี้?
“ช่วงนั้นผมเพิ่งจบปริญญาตรีจากจุฬาฯทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกำลังมองเรื่องการไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็สนใจ Australian National University เพราะคิดว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดี อาจารย์ที่จุฬ่าฯก็แนะนำมาด้วย โดยเฉพาะหลักสูตร IR หรือ International Relations ถือว่าที่นี่มีชื่อเสียงมาก ก็เลยติดต่อเรื่องการสมัครเรียนไป เพราะช่วงนี้ออสเตรเลียเพิ่งเปิดภาค Semester และเมื่อมาได้ทุนก็เลยเลือกไปเรียนที่ ANU แห่งนี้ ส่วนเรื่องทุน Endeavour นั้นถือเป็นทุนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะCover เกือบทุกอย่าง เผอิญรุ่นพี่ผมก็เคยสมัครได้ทุนนี้มาแล้ว ก็บอกต่อกันมา คือทุนเขาดีมากมีเงินเดือนให้ใช้เยอะต่อเดือน แทบจะใช้ได้ 2 คนด้วยซ้ำ แต่ค่าเทอมประมาณไม่เกินเทอมละหมื่นเหรียญอาจขาดไปบ้าง ผมก็เลยแก้ปัญหาด้วยการไปขอทุนของมหาวิทยาลัยอีกทุนก็เลยพอดี Cover หมดทุกอย่าง”
ช่วยเล่าถึงว่าทำอย่างไรจนกระทั่งได้ทุนรวมทั้งเรื่องทำงานกับอาเซียน?
“ในการดำเนินการเพื่อสมัครขอทุน ก็ต้องขอ Admission คือมหาวิทยาลัยต้องรับเข้าศึกษาก่อน ตอนสมัครไปที่มหาวิทยาลัยผมเองไม่ได้สมัครออนไลน์ แต่เผอิญไปงานศึกษาต่อของ Idp ในบ้านเรา ก็มีเอเจนซี่มา ก็เลยสมัครกับเขาก็ฟรีตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะจังหวะตัวแทนมหาวิทยาลัยเขามาพอดีเขาก็จัดการให้เสร็จ
เดิมทีหลังจากจบจุฬาฯ ผมมาทำงานประสานงานหรือ Coordinator ที่ศูนย์ ASEAN Secretariat Coordinating Centre Thailand แต่ตอนหลังเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งผู้ช่วยเขาออกไป ก็เลยทำ Assistant
(ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการสมาคมอาเซียน) อีกตำแหน่ง ลักษณะงานก็คล้าย ๆ งานเลขาฯ คือจัดโปรแกรมต่าง ๆ นัดหมาย เช่น ดร.สุรินทร์จะเข้าพบนายกฯ พบทูต หรือไปบรรยายที่ไหน จริง ๆ แล้ว ดร.สุรินทร์ ท่านจะBusyมาก วันหนึ่งบางทีต้องออกงาน 4-5 งาน แต่ผมไม่ได้ไปต่างประเทศเพราะท่านมีเลขาฯในส่วนนั้นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหลังจากได้ทุนEndeavour ผมก็ต้องออกจากงานเพื่อไปเรียนต่อ
คือ ตอนขอทุนผมทำงานที่ศูนย์นี้ ยังไม่ได้เป็นผู้ช่วยท่าน คือทำมาก่อน 2-3 เดือน จึงมาเป็นผู้ช่วยดร.สุรินทร์อีกประมาณ 6 เดือนอย่างไรก็ตาม สิ่งที่คิดว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้ได้รับทุนของออสเตรเลียครั้งนี้ น่าจะพอสรุปได้คือ สายงานที่ผมทำ ก็เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสิ่งที่เรียนมา คือไม่ได้ย้ายสาย และก็วางแผนที่จะไปเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อ ทำให้สิ่งที่นำเสนอดูมีน้ำหนัก อีกประการผมเองต้อง การเป็นอาจารย์ ผู้ให้ทุนเขาก็คงพิจารณาเห็นว่า มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะกลับมาทำประโยชน์ หรือนำเอาสิ่งที่ไปศึกษามาใช้เป็นรูปธรรม อีกทั้งอาจารย์ที่รับรองผมก็ยืนยันเหมือนกันหมดว่า ผมมีความสามารถในระดับหนึ่งที่เหมาะที่จะขอรับทุนได้ ก็อาจกล่าวได้ว่า ข้อมูลต่าง ๆ มัน Support กันหมดไม่ติดอะไร ถ้าภาษาอังกฤษเราใช้ได้ และคุณสมบัติอื่น ๆ โอเค ก็คงทำให้ได้ทุนไม่ยากนัก
ภาษาอังกฤษ Ielts ผมก็ธรรมดานะพอผ่าน คือผมได้ 7 ก็ไม่ถือว่ามากที่สุด เพราะบางคนก็ได้กันถึง 8 ก็มี”
วางแผนอนาคตหลังเรียนจบอย่างไร และแนะนำเรื่องทุนแก่ผู้สนใจสักหน่อย?
อนาคต หลังจากเรียนจบหลักสูตรปีครึ่งที่ออสเตรเลียแล้ว ผมวางแผนจะเป็นอาจารย์ครับ แต่ก็คงต้องพิจารณาอีกทีเมื่อถึงเวลานั้น เพราะปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ เช่นมหาวิทยาลัยก็ออกนอกระบบกันเยอะ อย่างจุฬาฯก็มีกฎใหม่ออกมาว่า อาจารย์ต้องจบปริญญาเอก ผมอาจจะไปเป็นอาจารย์ที่ต่างจังหวัดหรือเปล่า คงต้องดูอีกที คือเรียนมาก็อยากทำงาน ทำงานแล้วอาจกลับไปเรียนต่อ ก็เป็นไปได้เช่นกัน
แนะนำน้อง ๆ เรื่องการสมัครขอทุน ต้องอดทนครับ และให้เวลากับมันหน่อย ทำ Research ดู ข้อมูลมาก ๆ จากเว็บไซต์ หนังสือ และอื่น ๆ คือต้องหาเยอะ อ่านเยอะ ใจเย็น ๆ อย่าไปคิดว่าทุนนี้ให้น้อย ทุนนี้ให้มาก เราคงไม่มีโอกาสได้ ถ้าคิดแบบนี้ก็คงไม่ได้แล้วละ ต้องอดทน ต้องคิดว่าถ้าเวลาได้มันก็คุ้มนะ คอยดูว่าช่วงนี้มีทุนอะไรบ้าง อาจเป็นทุนออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สวีเดน ช่วงนี้อาจมีคนได้ทุนไปแล้ว ปีหน้าก็ยังมีโอกาสนะ อย่าท้อแท้
ส่วน เรื่องภาษาอยากบอกว่า มันเป็นเรื่องที่พูดยากเหมือนกัน ต้องใช้เวลา อย่างผมเรียนทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ม.1 คือต้องถามว่าชอบภาษาอังกฤษไหม คือถ้าไม่ชอบก็ไม่น่าจะบังคับใจให้เรียน แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน อาจชอบภาษาอื่นก็ได้ ผมคิดว่า ฝึกภาษาควรฝึกแบบธรรมชาติน่าจะดี เช่นดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ก็อ่านสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องบังคับตัวเองให้มันหนักเกินไป อย่างผมอ่านหนังสือมากผมก็เบื่อ ก็อยากทำอย่างอื่น ก็ไปทำอย่างอื่นบ้าง
คือ สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง ต้องค้นหาตัวเราว่าชอบอะไรจริง ๆ ยิ่งเจอตั้งแต่ม.3 ด้วยยิ่งดี เช่นตัวผมเองทางบ้านอยากให้เรียนสายวิทย์ จะได้มาต่อมหาวิทยาลัยด้านวิศวะฯเหมือนพ่อ แต่ผมรู้ว่าตัวเองชอบสายศิลป์ภาษา และอนาคตอยากเรียนรัฐศาสตร์เพราะคิดว่าจะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้บ้าง เมื่อถึงม.ปลายผมก็เลือกที่จะเรียนสายศิลป์ ไม่ต้องไปเรียนฟิสิกส์ เคมีที่ตนเองไม่ชอบ และเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยผมก็เลือกรัฐศาสตร์หมดเลย คือตอนนั้นคิดไว้แล้วว่า ถ้าสอบไม่ติดที่ไหน ก็จะเรียนรัฐศาสตร์ที่รามคำแหง
สรุปว่า ผมเรียนมาทางด้านที่ชอบตลอดจนถึงปัจจุบัน คืออยากบอกว่าคนเราจะทำอะไรได้ดีต้องทำอย่างที่ตัวเองอยากจะทำ อันนี้อยากแนะนำทิ้งท้ายไว้ครับ…